การวัด ความคิดสร้างสรรค์ ในเด็ก
การวัด ความคิดสร้างสรรค์ ในเด็ก
ที่มา : การประชุมวิชาการระดับนานาชาติ จัดโดย สสค. OECD และ ม.ธรรมศาสตร์
เรียบเรียง : วสันต์ สุทธาวาศ
ศตวรรษที่ 21 เป็นเสมือนดินแดนใหม่ที่ท้าทายผู้บุกเบิกที่มีวิสัยทัศน์และศักยภาพ ทั้้งในเรื่องเศรษฐกิจ สังคม การเมืองการปกครอง ฯลฯ และรวมถึงระบบการศึกษา ซึ่งถือเป็นรากฐานที่สำคัญในทุกมิติแห่งการพัฒนา ผู้เรียบเรียงได้มีโอกาสไปร่วมการประชุมวิชาการระดับนานาชาติ เรื่อง “เครื่องมือติดตามพัฒนาการกระบวนการคิดวิเคราะห์สร้างสรรค์” ซึ่งจัดโดย สำนักงานส่งเสริมสังคมแห่งการเรียนรู้และคุณภาพเยาวชน (สสค.) องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) และมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ในวันอังคารที่ 9 มิถุนายน 2558 ณ ห้องประชุมประกอบ หุตะสิงห์ อาคารเอนกประสงค์ 1 ชั้น 3 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
ในงานมีกำหนดการที่น่าสนใจมากมาย เช่น “การวัด ความคิดสร้างสรรค์ ในเด็ก” “การนำเสนอประสบการณ์พัฒนาเครื่องมือเสริมสร้างทักษะแห่งศตวรรษที่ 21” “กระบวนการวิจัยเรื่องเครื่องมือติดตามพัฒนากระบวน การคิดวิเคราะห์ สร้างสรรค์ เป็นต้น ซึ่งใช้กระบวนการบรรยาย แลกเปลี่ยนข้อคิดเห็น และประชุมกลุ่มย่อยของผู้เกี่ยวข้องในมิติต่างๆ โดยได้รับเกียรติจาก ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช เป็นประธานในการประชุม และมีผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมอย่างมากมาย
..หากผู้เข้าร่วมวันนี้ มาเพื่อหวังความก้าวหน้าในตำแหน่งหน้าที่ แสดงคุณมาผิดห้องแล้ว
ผู้เข้าร่วมวันนี้ มีแต่ผู้สนใจที่จะพัฒนาการศึกษาให้เจริญก้าวหน้า..
จากคำกล่าวเปิดที่แหลมคมข้างต้น ได้กระตุ้นให้เห็นความสำคัญของการจัดประชุมครั้งนี้ ที่แสดงออกถึงเจตนารมณ์ และเป้าหมายที่ชัดเจน ซึ่งไฮไลท์ของวันนี้ คือ การได้รับเกียรติจาก Prof. Todd Lubart จาก University of Paris Descartes (Paris V) มาบรรยายพิเศษ เรื่อง “การวัด ความคิดสร้างสรรค์ ในเด็ก” โดยมีเนื้อหาสาระที่เป็นประโยชน์มาก ซึ่งจากการบรรยายดังกล่าวผู้เขียนได้สรุปเป็นแผนผังตามความเข้าใจ (ดังรูปที่แนบ) หากมีความผิดพลาดคลาดเคลื่อน จากหลักการต้นฉบับประการใด ทางผู้เรียบเรียงขอน้อมรับไว้เพียงผู้เดียว
หากพิจารณาตามแผนภาพ จะเห็นได้ว่า Prof. Todd ได้พูดถึงใน 3 ส่วน หลักๆ ดังนี้
1. ความคิดสร้างสรรค์ สำคัญอย่างไร? – ความคิดสร้างสรรค์ เป็นทักษะสำคัญต่อพัฒนาการของโลกตั้งแต่อดีต รวมถึงเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับตลาดแรงงาน ผู้ประกอบการ การทำงาน และการดำรงชีวิตให้มีคุณภาพ ในสังคมศตวรรษที่ 21 ใน 3 ประเด็นหลัก ดังนี้ 1.1 Personal problem solving ability เพื่อแก้ปัญหาในระดับบุคคล 1.2 Job competency เพื่อเป็นศักยภาพในการประกอบอาชีพ และ 1.3 Societal resource เพื่อเป็นทรัพยากรที่สำคัญของสังคม
2. ความคิดสร้างสรรค์ เกิดจากอะไร? Divergent Thinking – Exploratory mode of thinking คือ คิดให้แตกต่างหลากหลาย คิดให้หลุดกรอบจนค้นพบความคิดเจ๋งๆ ใหม่ๆ จากนั้นจึงเป็น Convergent Thinking – Integrative Thinking คือ นำความคิดแตกต่างหลายหลากและเจ๋งๆ เหล่านั้น มาบูรณการและประยุกต์ให้เป็นความคิดที่สร้างสรรค์ (มีประโยชน์)
3. การประเมิน ความคิดสร้างสรรค์? Prof. Todd ได้พัฒนาเครื่องมือเพื่อวัด ความคิดสร้างสรรค์ ที่เรียกว่า EPoC : Evaluation of Potential for Creativity ซึ่งมีประเด็นการประเมิน ได้แก่ Potential vs. Achievement คือ ศักยภาพด้านความคิดสร้างสรรค์ vs. ความสำเร็จจากความคิดสร้างสรรค์ ใน 2 ด้าน คือ ด้านศิลปะ (Artistic) และ ด้านภาษา (Linguistic) ผ่านการสังเคราะห์ (Synthesis) ผ่านผลงานที่เป็นความแตกต่างและการค้นหาความคิดของเด็ก (ใช้กิจกรรมที่เด็กเข้าถึงง่าย คือ การวาดรูป ด้วยวัตถุที่ง่ายต่อจินตนาการและสร้างสรรค์ความคิด เช่น กล้วย เป็นต้น)
โดยจากผลงานที่เป็นความแตกต่างและการค้นหาความคิดที่ให้เด็กได้ลงมือทำนั้น ต้องมีการแปลความ ดังนี้ Divergent Graphic –DG, Integrative Graphic – IG, Divergent Verbal – DV and Integrative Verbal – IV
ผู้เรียบเรียงเกิดคำถามขึ้นในใจว่า ประเมินแล้วเป็นอย่างไรต่อ? จึงได้ลองสังเกตซึ่งพบว่า จะมี loop ในการพัฒนาอยู่ด้วย คือ การประเมินนั้นต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญ (Peer) โดยจะคอยสังเกต และอำนวยให้เกิดการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ สู่ไอเดียใหม่ๆ ของเด็ก (Share understanding) และเรียนรู้ที่จะสร้างสรรค์ความคิดที่เพิ่มมากขึ้น (Children learn how to get more idea) รวมถึงการทำให้เกิดการบูรณาการและประยุกต์ความเหล่านั้น สู่ ความคิดสร้างสรรค์ ต่อไปเรื่อยๆ (Many ideas to integrated idea) ดังแผนภาพ
ในท้ายของการประชุม ศ.นพ.วิจารณ์ พานิช ได้กล่าวเสริมว่า การประเมินผลควรช่วยให้การเรียนการสอนดีขึ้น ทั้งครูและนักเรียน โดยระบบการศึกษาของไทยยังติดอยู่กับการประเมินผลแบบเดิมๆ คือเป็น Summative Assessment ซึ่งเป็นเพียงการประเมินได้ของ หรือประเมินเพื่อมาตรฐานเท่านั้น กล่าวคือ เป็นการประเมินเพียงให้ได้ความรู้ แต่ไม่สามารถประเมินในมิติที่สำคัญอื่นๆ ได้ เช่น คุณลักษณะต่างๆ คุณธรรม ศีลธรรม เป็นต้น ซึ่งนำไปสู่ Teach to Test และไม่ก่อประโยชน์อย่างแท้จริง แต่กระนั้นก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ดังนั้น ควรให้สัดส่วนการประเมินดังกล่าวเพียงร้อยละ 20 ก็เพียงพอ
ในส่วนที่เหลือของการประเมินอีกร้อยละ 80 ควรให้ความสำคัญกับ Formative Assessment กล่าวคือ เป็นการประเมินที่ฝังอยู่ในการจัดการเรียนการสอน (Embeded Assessment) ซึ่ง ครูควรมี Classroom Skill โดยอีกองค์ประกอบสำคัญคือ ครูต้องคอยสังเกตผู้เรียนและตั้งคำถาม เพื่อสะท้อนกลับการเรียนรู้ของนักเรียนในเชิง Constructive Feedback คือ เป็นการสะท้อนกลับเชิงสร้างสรรค์นั้นเอง นอกจากนี้ ท่านยังได้แนะนำหนังสือที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ Embeded Formative Assessment อีกด้วย
ท่านที่สนใจดาวน์โหลดเอกสารประกอบการประชุม สามารถดาวน์โหลดได้จากเว็บของ สสค. http://www.qlf.or.th/Home/Contents/1027
ขอขอบคุณผู้จัดงาน สำหรับองค์ความรู้ที่มีประโยชน์