ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมสร้างนวัตกรรมระดับบุคคลใน สพฐ. : Factors Affecting Individual Innovative Behavior in OBEC (ตอน 1)
ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมสร้างนวัตกรรมระดับบุคคล
ในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
FACTORS AFFECTING INDIVIDUAL INNOVATIVE BEHAVIOR IN THE OFFICE OF BASIC EDUCATION COMMISSION
วสันต์ สุทธาวาศ1 และ ประสพชัย พสุนนท์2
1นักศึกษาปริญญาเอก สาขาการจัดการ คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยศิลปากร
2รองศาสตราจารย์ สาขาการจัดการธุรกิจทั่วไป คณะวิทยาการจัดการ มหาวิทยาลัยศิลปากร
บทคัดย่อ
งานวิจัยครั้งนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อ 1) ศึกษาระดับพฤติกรรมสร้างนวัตกรรมระดับบุคคลในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานศึกษา 2) ศึกษาปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมสร้างนวัตกรรมระดับบุคคลในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ซึ่งเก็บข้อมูลโดยใช้แบบสอบถาม กลุ่มตัวอย่างที่ใช้ในการวิจัยคือ บุคลากรที่ปฏิบัติงานในสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน ตำแหน่ง นักวิชาการศึกษา จำนวน 172 คน สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ การวิเคราะห์การถดถอยพหุคูณและใช้การเลือกตัวแปรเข้าสมการแบบขั้นตอน พบว่า มีตัวแปรอิสระจำนวน 3 ปัจจัย ได้แก่ 1) เครือข่ายทางสังคม 2) การเปิดกว้างทางความคิด และ 3) ลักษณะการคิดริเริ่ม ผลการวิจัยพบว่า ทั้ง 3 ปัจจัย ล้วนส่งผลต่อพฤติกรรมสร้างนวัตกรรมระดับบุคคลในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานทั้งสิ้น ซึ่งสามารถนำผลที่ได้นี้มาประยุกต์ใช้ในการวางกลยุทธ์ด้านการจัดการทรัพยากรบุคคลต่อไป
คำสำคัญ: พฤติกรรมสร้างนวัตกรรมระดับบุคคล
Abstract
The purposes of this research were 1) to study the level of individual innovation behavior in The office of basic education commission, and 2) to study the factors that affecting individual innovation behavior in The office of basic education commission. The data collection is obtained through questionnaires with 172 responses from Educator of The office of basic education commission. The data was statistically analyzed using stepwise multiple regression. The initial findings indicate that three factors (independent variables) that are influential in the individual innovation behavior in The office of basic education commission staff are 1) the social network 2) the open-mindedness and 3) the originality. The results showed all of factors were significant predictors individual innovation behavior of staff in The office of basic education commission. Which can result from the application if strategic human management next
Keywords: individual innovation behavior
บทนำ
ในระยะเวลาที่ผ่านมาประเทศไทยต้องเผชิญกับกระแสการเปลี่ยนแปลงที่หลากหลายและรวดเร็ว ทั้งปัจจัยด้านสภาพแวดล้อม ด้านความเสี่ยงโลก และด้านสถานการณ์บ้านเมือง ซึ่งส่งผลกระทบอย่างเลี่ยงไม่ได้ต่อการพัฒนาหน่วยงานภาครัฐ ที่จำเป็นต้องปรับปรุงและพัฒนาการบริหารจัดการงานให้มีประสิทธิภาพ มีความทันสมัยสอดคล้องกับสังคมยุคใหม่ เพื่อให้ระบบราชการมีความเข้มแข็งมีภูมิคุ้มกันที่ดีเพียงพอที่จะสร้างสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการเสริมสร้างรากฐานที่แข็งแรง ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมให้สามารถแข่งขันกับนานาประเทศได้ (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ, 2556)
จากความจำเป็นดังกล่าว ประเด็นยุทธศาสตร์ที่ 2 ของการพัฒนาระบบราชการไทยในช่วงระยะปี พ.ศ. 2556 – พ.ศ. 2561 จึงได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาองค์การให้มีขีดสมรรถนะสูงและทันสมัย บุคลากรมีความเป็นมืออาชีพ โดยกำหนดกลยุทธ์ที่มุ่งเน้น การพัฒนาบุคลากรเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพระบบราชการ เพิ่มผลผลิตในการปฏิบัติราชการ และส่งเสริมนวัตกรรม (สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ, 2556) โดยมุ่งเน้นการเพิ่มศักยภาพขององค์การ พัฒนาการคิดเชิงสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดนวัตกรรม ซึ่งปัจจัยสำคัญที่สรรค์สร้างให้เกิด นวัตกรรม ก็คือ คน ปัญญา ความรู้ และทักษะความสามารถของทรัพยากรมนุษย์ โดยการสนับสนุนให้เกิดพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งสู่ผลผลิตที่ดีขององค์การ (Hoy and Miskel, 2008)
นอกจากนี้แล้วการพัฒนาองค์การให้มีขีดสมรรถนะสูง ยังรวมถึงการเสริมสร้างแนวคิดองค์การแห่งการเรียนรู้เพื่อนำไปสู่พฤติกรรมสร้างนวัตกรรม ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างคนนวัตกรรม โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ร่วมกันของคนในองค์การ (Gibbons, 1997) และการเรียนรู้ร่วมกันของคนในองค์การดังกล่าว จะเกิดขึ้นจากการร่วมมือและการรวมกลุ่มทำงาน ซึ่งประกอบไปด้วยสมาชิกที่มีความหลากหลาย สมาชิกของกลุ่มเองก็จะต้องสามารถยอมรับในความแตกต่างทั้งด้านความรู้และทักษะของสมาชิกในกลุ่มงานนั้นด้วย ซึ่งความหลากหลายและความแตกต่างดังกล่าวนี้ จำเป็นที่จะต้องอาศัยสมาชิกในกลุ่มงานที่มีคุณลักษณะส่วนบุคคล ที่เปิดกว้างต่อความคิดที่แตกต่าง เพื่อให้การทำงานร่วมกันสามารถดำเนินต่อไป จนสามารถสร้างชิ้นงานสร้างสรรค์ได้ ในขณะเดียวกันความสร้างสรรค์ต่างๆ ย่อมต้องอาศัยบุคคลที่มีลักษณะการคิดริเริ่ม จึงจะทำให้การระดมความคิดมีความหลากหลายเพียงพอที่จะใช้เป็นทางเลือกในการสร้างผลผลิตใหม่ๆ ทั้งนี้ บุคคลที่มีเครือข่ายทางสังคมมาก ก็น่าจะเป็นผู้ที่มีมุมมองที่หลากหลาย เพราะได้รู้จัก พูดคุยกับบุคคลต่างๆ จำนวนมาก การพบปะกับบุคคลจำนวนมากย่อมจุดประกายความคิดและขยายความรู้ให้กับบุคคลได้เป็นอย่างดี (ตรีทิพ บุญแย้ม, 2554)
สำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ ถือได้ว่าเป็นหน่วยงานหลักของการพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศ ซึ่งจัดตั้งโดยกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการสำนักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐาน อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 8 และมาตรา 11 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ. 2546 ให้มีภารกิจเกี่ยวกับการจัดและการส่งเสริมการศึกษาขั้นพื้นฐาน โดยให้มีอำนาจหน้าที่หนึ่งที่สำคัญ กล่าวโดยสรุปคือ การพัฒนาระบบการบริหารและส่งเสริม ประสานงานเครือข่าย ข้อมูลสารสนเทศการนำเทคโนโลยีสารสนเทศไปใช้ รวมทั้งการวิจัยและพัฒนานวัตกรรมเกี่ยวข้อง (ราชกิจจานุเบกษา, 2546) ซึ่งมุ่งการพัฒนาเชิงองค์การ และพัฒนาเชิงทรัพยากรมนุษย์ โดยมีนักวิชาการศึกษา เป็นทรัพยากรสำคัญในการขับเคลื่อนภารกิจของหน่วยงาน มีฐานะเป็นผู้เชี่ยวชาญพิเศษทางด้านการศึกษาปฏิบัติหน้าที่หลายด้านทางการศึกษา ซึ่งมีหน้าที่ที่สำคัญประการหนึ่ง คือ การศึกษา ค้นคว้า วิเคราะห์ วิจัยและสร้างองค์ความรู้ เทคนิควิธีการและนวัตกรรมใหม่ๆ เกี่ยวกับเทคโนโลยี นวัตกรรมทางการศึกษา และนวัตกรรมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำมาพัฒนาการปฏิบัติงาน เสนอแนะในการกำหนดนโยบาย และพัฒนางานด้านการศึกษา (สำนักพัฒนาระบบบริหารงานบุคคลและนิติการ, 2551)
ดังนั้น นักวิชาการศึกษา จึงเป็นฟันเฟืองหลักในระดับบุคคลที่ต้องส่งเสริมและพัฒนาพฤติกรรมที่ตอบสนองต่อการพัฒนาองค์การให้มีขีดสมรรถนะสูงดังกล่าว โดยจากการทบทวนวรรณกรรมและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องทำให้ทราบว่า พฤติกรรมนั้นจะต้องมีคุณลักษณะระดับบุคคล ที่ควรให้ความสำคัญได้แก่ คุณลักษณะของการเปิดกว้างทางความคิดที่สามารถเปิดรับข้อมูลใหม่ ความรู้ใหม่และประสบการณ์ใหม่ คุณลักษณะการคิดริเริ่ม ที่แสดงให้เห็นความสามารถในการคิดที่แปลกใหม่ที่เป็นประโยชน์ และคุณลักษณะของการมีเครือข่ายทางสังคมที่สามารถเชื่อมโยงระหว่างบุคคลและกลุ่มต่างๆ
จากคุณลักษณะทั้ง 3 ประการดังที่กล่าวมาแล้วนั้น เป็นคุณลักษณะที่สามารถวัดผลและสนับสนุนให้เกิดขึ้นในองค์การได้ จึงเป็นปัจจัยที่เหมาะสมกับการนำมาศึกษา ดังนั้น ผู้วิจัยจึงมีความสนใจที่จะทำการศึกษา ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมสร้างนวัตกรรมระดับบุคคลในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวน 3 ปัจจัย ได้แก่ เครือข่ายทางสังคมการเปิดกว้างทางความคิด และลักษณะการคิดริเริ่ม ซึ่งผลการวิจัยจะเป็นแนวทางให้ผู้บริหารได้เข้าใจและให้การสนับสนุนเพื่อให้เกิดพฤติกรรมสร้างนวัตกรรม ตลอดจนการคัดเลือกบุคคลที่มีแนวโน้มมีพฤติกรรมดังกล่าว สามารถทำงานได้จริงในเชิงปฏิบัติ และเกิดองค์ความรู้ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับการวิจัยการปฏิบัติงานขององค์การภาครัฐและองค์การการศึกษาของประเทศไทย
วัตถุประสงค์การวิจัย
การวิจัยในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ดังนี้
1. เพื่อศึกษาระดับพฤติกรรมสร้างนวัตกรรมระดับบุคคลในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2. เพื่อศึกษาปัจจัยที่มีผลต่อพฤติกรรมสร้างนวัตกรรมระดับบุคคลในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้แก่ เครือข่ายทางสังคมการเปิดกว้างทางความคิด และลักษณะการคิดริเริ่ม
ขอบเขตของการศึกษา
ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง
1. ประชากรในการวิจัยครั้งนี้ ได้แก่ นักวิชาการศึกษาที่ปฏิบัติงานในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวนทั้งหมด 299 คน ที่ปฏิบัติหน้าที่ ณ สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สำนักนโยบายและแผนการศึกษาขั้นพื้นฐาน, 2556) ระยะเวลาในการเก็บข้อมูลคือ ช่วงเดือนธันวาคม 2556
2. การกำหนดขนาดกลุ่มตัวอย่าง ผู้วิจัยใช้สูตรของ ทาโร่ ยามาเน่ ที่ระดับความเชื่อมั่นที่ 95% (Yamane, 1973) โดยได้ขนาดกลุ่มตัวอย่างเท่ากับ 172 คน
วิธีการสุ่มตัวอย่าง
การศึกษาครั้งนี้ใช้วิธีการสุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-Stage Sampling) โดยมีขั้นตอนการสุ่มตัวอย่างดังต่อไปนี้
1. ใช้วิธีการสุ่มแบบโควต้า (Quota Sampling) โดยคำนวณเป็นสัดส่วนตามจำนวนประชากรและกลุ่มตัวอย่าง จากหน่วยงานภายใน 12 หน่วยงาน
2. ใช้วิธีการสุ่มแบบจับสลาก (Lottery) โดยทำรายชื่อประชากรทั้งหมดแบ่งตามหน่วยงานภายใน แล้วสุ่มหยิบขึ้นมาครั้งละ 1 รายชื่อ จนได้รายชื่อครบตามจำนวนโควต้า
การวัดตัวแปร
ในการวิจัยครั้งนี้ผู้วิจัยวัดตัวแปรที่ศึกษาโดยใช้แบบสอบถาม (Questionnaires) ซึ่งเป็นแบบปลายปิด โดยประยุกต์จาก ตรีทิพ บุญแย้ม (2554) แบ่งออกเป็น 2 ตอน ดังนี้
ตอนที่ 1 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับลักษณะทางประชากรศาสตร์ของผู้ตอบแบบสอบถามได้แก่ เพศ สถานภาพสมรส วุฒิการศึกษา อายุงาน ระดับตำแหน่ง อัตราเงินเดือน จำนวน 6 ข้อ โดยเป็นแบบสอบถามที่คำถามมีการกำหนดให้เลือกตอบ โดยใช้ระดับการวัดข้อมูลประเภทนามกำหนด (Nominal Scale) และข้อมูลประเภทสเกลลำดับ (Ordinal Scale)
ตอนที่ 2 เป็นแบบสอบถามเกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมสร้างนวัตกรรมระดับบุคคลในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน จำนวนทั้งสิ้น 54 ข้อ ระดับการวัดข้อมูลประเภทสเกลอัตราภาค (Interval Scale) ลักษณะคำถามเป็นแบบมาตราส่วนประเมินค่า (Likert-type Scale) ให้ผู้ตอบแบบสอบถามแสดงความคิดเห็นเป็น 5 ระดับที่ตรงกับความเป็นจริง
การหาคุณภาพของเครื่องมือวิจัย ประกอบด้วย 1) การตรวจสอบความเที่ยงตรงเชิงเนื้อหา (Content Validity) ด้วยเกณฑ์การประเมินความสอดคล้อง (Index of consistency: IOC) โดยใช้ผู้เชี่ยวชาญจำนวน 4 ท่าน ได้ค่า IOC เท่ากับ 0.85 2) การหาค่าความเชื่อมั่น (Reliability) จากความสอดคล้องภายใน (Internal consistency) ด้วยค่าสัมประสิทธิ์แอลฟาของครอนบาค (Cronbach’s Alpha Coefficient) ได้ค่าความเชื่อมั่นของแบบสอบถามรวมทั้งฉบับเท่ากับ 0.89
วิเคราะห์ข้อมูลและสมมติฐานการทดสอบ
การวิจัยครั้งนี้วิเคราะห์ข้อมูลด้วยสถิติเชิงพรรณนา (Descriptive Research) ประกอบด้วยค่าความถี่ ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน วิเคราะห์ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมสร้างนวัตกรรมระดับบุคคลในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน วิธีวิเคราะห์ค่าทางสถิติแบบถดถอยพหุคูณและใช้การเลือกตัวแปรเข้าสมการแบบขั้นตอน (Stepwise Multiple Regression) ซึ่งการวิจัยในครั้งนี้เป็นการวิจัยเชิงปริมาณ โดยที่ตัวแปรอิสระ ได้แก่ ปัจจัยที่ส่งผลต่อพฤติกรรมสร้างนวัตกรรมระดับบุคคล ได้แก่ เครือข่ายทางสังคม (X1) การเปิดกว้างทางความคิด (X2) และลักษณะการคิดริเริ่ม (X3) ส่วนตัวแปรตาม (Y) ได้แก่ พฤติกรรมสร้างนวัตกรรมระดับบุคคลในสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน และตรวจสอบความเป็นอิสระต่อกันของความคลาดเคลื่อนด้วย ค่าสถิติ Durbin-Watson ได้เท่ากับ 1.88