เมื่อภาคีเข้มแข็ง… คุณภาพการศึกษาไทยจึงเข้มข้น : การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานยุคใหม่ บนฐานการมีส่วนร่วมจาก ภาคีเครือข่าย (ตอน 1)
เมื่อภาคีเข้มแข็ง…คุณภาพการศึกษาไทยจึงเข้มข้น :
การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานยุคใหม่ บนฐานการมีส่วนร่วมจาก ภาคีเครือข่าย
ดร.วสันต์ สุทธาวาศ และ ดร.สมพร สามทองกล่ำ : ผู้เขียน
เป้าหมายการพัฒนาแห่งสหัสวรรษ (Millennium Development Goals – MDGs) เดินมาถึงปลายทางและสิ้นสุดลงเมื่อ พ.ศ. 2558 พร้อมๆ กับก้าวใหม่ครั้งสำคัญขององค์การสหประชาชาติ (United Nations : UN) ที่ริเริ่มกระบวนการหารือเพื่อกำหนดวาระการพัฒนาภายหลังปี พ.ศ. 2558 (post-2015 Development Agenda) ภายใต้กระบวนทัศน์ “การพัฒนาที่ยั่งยืน” สู่การรับรองวาระและจัดทำเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals–SDGs) ช่วง 15 ปี (ค.ศ. 2015 – 2030) เพื่อเป็นเสมือนหลักชัยของการยกระดับการพัฒนาโลกยุคใหม่ให้สมดุลยิ่งขึ้น ถือเป็นเป้าหมายที่ออกแบบมาให้เหมาะสมกับโลกดิจิทัล ที่ไม่ว่าจะพิจารณาในมิติใดของสังคม ก็ล้วนตกอยู่ท่ามกลางกระแสรุนแรงราวพายุของเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือที่เรียกว่า Digital Disruption ที่กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าโลกทั้งใบไปตลอดกาล
ประเทศไทยได้แสดงถึงความตื่นตัวต่อวิถีแห่งการพัฒนาครั้งใหม่นี้ ผ่านการเข้าร่วมรายงานความก้าวหน้า SDGs โดยสมัครใจ หรือ Voluntary National Review (เมื่อเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2560) รวมถึงประเมินผลสถานการณ์ SDGs โดยการจัดอันดับของ Sustainable Development Solutions Network พบว่า ประเทศไทย อยู่ในลำดับ 55 จาก 157 ประเทศ ซึ่งถือว่ายังห่างไกลกับเป้าหมายดังกล่าวพอสมควร แต่ทว่าประเทศไทยก็พยายามก้าวให้เร็วและกว้างไกลยิ่งขึ้น เพื่อให้ทันกับช่องว่างแห่งยุคสมัย ด้วยการกำหนดนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” เพื่อขับเคลื่อนการปรับตัวเข้าสู่การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 หรือ Industrial 4.0 ที่ไม่เพียงแต่มีการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้กันอย่างแพร่หลาย แต่ยังเป็นการนำนวัตกรรมมาใช้ในทุกๆ ด้าน ซึ่งองค์กรภาครัฐและเอกชนต้องมีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่รวดเร็วยิ่งขึ้น มีความคล่องตัวในการดำเนินงาน สามารถนำกลยุทธ์ที่หลากหลายมาปรับใช้อย่างยืดหยุ่น
จากยุทธศาสตร์ชาติ ระยะ 20 ปี รวมถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 12 (พ.ศ. 2560 – 2564) ได้แสดงให้เห็นว่าการพัฒนาตามเป้าหมายยุค 4.0 ดังกล่าวให้ประสบผลสำเร็จนั้น รากฐานที่สำคัญที่สุด คือ ทุนมนุษย์ และฐานรากของทุนมนุษย์ที่มีศักยภาพ ก็คือ การศึกษาที่มีคุณภาพ โดยมีหัวใจสำคัญตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) คือ การสร้างหลักประกันว่าทุกคนมีการศึกษาที่มีคุณภาพอย่างครอบคลุมและเท่าเทียม รวมถึงสนับสนุนโอกาสในการเรียนรู้ตลอดชีวิต หากแต่การจัดการศึกษาโดยรัฐเพียงอย่างเดียว อาจไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการและบริบทที่แตกต่าง หลากหลาย และเป็นพลวัตได้ จึงต้องยกระดับการพัฒนารูปแบบใหม่ๆ ในการจัดการศึกษาที่มุ่งเน้นกลไกการบูรณาการด้านการศึกษา เสริมสร้างหุ้นส่วนความร่วมมือและ ภาคีเครือข่าย ด้านการศึกษาที่เข้มแข็ง เพื่อร่วมกันเผชิญความท้าทายในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล
“…หากแต่การจัดการศึกษาโดยรัฐเพียงอย่างเดียว
อาจไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการและบริบทที่แตกต่าง
หลากหลาย และเป็นพลวัตได้…”
เมื่อเหลียวมองการขับเคลื่อนนโยบายด้านการศึกษาของรัฐบาล ได้ฉายภาพที่สะท้อนถึงความเข้าใจอย่างถ่องแท้ในการพัฒนาการศึกษายุค 4.0 ที่ต้องการฐานความร่วมมือที่แข็งแรงและเป็นรูปธรรม ผ่านการเร่งปฏิรูปการศึกษาที่สามารถขับเคลื่อนให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อการพัฒนาประเทศ มีการปรับโครงสร้างการบริหารราชการของกระทรวงศึกษาธิการในภูมิภาค เพื่อยกระดับการประสานเชื่อมโยงและบูรณาการภารกิจด้านการศึกษา โดยเน้นการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนเป็นหลักการสำคัญ สอดรับกับแนวทางการบริหารงานโดย “ประชารัฐ” ที่มุ่งเน้นให้ทุกภาคส่วนของสังคม ซึ่งเป็นผู้ได้รับประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการได้รับการศึกษาของพลเมือง ให้ตระหนักถึงความสำคัญ และร่วมมือกันพัฒนาคุณภาพการศึกษาด้วยความเข้มแข็ง
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในฐานะหน่วยงานหลักในการพัฒนาด้านการศึกษา ได้มุ่งเน้นการพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐานที่สอดรับกับการพัฒนาประเทศ โดยเฉพาะการพัฒนาระบบบริหารจัดการการศึกษา และส่งเสริมให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา ได้ถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญที่จะเสริมสร้างความร่วมมือด้านการศึกษาระหว่างภาครัฐและเอกชน ด้วยกลไกการสร้างเครือข่ายที่เข้มแข็งและมีประสิทธิภาพในการเชื่อมโยงความร่วมมือ ส่งเสริมให้ภาคีเครือข่ายให้เข้ามามีบทบาทหลักตั้งแต่การร่วมกำหนดทิศทางการพัฒนาการศึกษา เพื่อนำสู่การยกระดับคุณภาพการศึกษาได้อย่างเท่าเทียมและทั่วถึง เน้นผลลัพธ์ที่ตัวผู้เรียน พร้อมทั้งขยายผลความร่วมมือเพื่อระดมทรัพยากรและเทคโนโลยีในการยกระดับคุณภาพการศึกษาสู่ความเป็นเลิศอย่างต่อเนื่อง โดยคำนึงถึงมิติการมีส่วนร่วมและบูรณาการทรัพยากรในท้องถิ่น ใช้ชุมชนเป็นฐานให้เกิดความเข้มแข็งจากฐานราก ด้วยความร่วมมือขององค์กรในชุมชน ทั้งการร่วมคิด ร่วมวางแผน ร่วมตัดสินใจ ร่วมดำเนินการ ร่วมรับผิดชอบร่วมติดตามประเมินผล ร่วมแก้ปัญหา และร่วมเสริมพลัง เป็นฐานสำคัญของการพัฒนาที่ยั่งยืน
ระดับการมีส่วนร่วมทางการศึกษาของ สพฐ. กับภาคีเครือข่าย
การสนับสนุนด้านงบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ หรือครุภัณฑ์ต่างๆ มีความสำคัญในระดับหนึ่ง แต่แท้จริงแล้วสิ่งที่การศึกษาไทย ยุค 4.0 ต้องการ คือ การระดมทั้งความคิดสติปัญญา แรงกาย แรงใจ พลังสมอง จากหน่วยงานภาคีเครือข่ายและชุมชนในท้องถิ่น ซึ่งจะทำให้มีมุมมองในการพัฒนาที่หลากหลาย ได้รับองค์ความรู้จากผู้ที่เชี่ยวชาญ และสามารถตอบโจทย์ความต้องการตามบริบทท้องถิ่นนั้นๆ ได้ ถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการพัฒนาการศึกษาของชาติให้เจริญก้าวหน้าสู่ความเป็นสากลได้ยั่งยืนอย่างแท้จริง กล่าวได้ว่าต้องสร้างการมีส่วนร่วมในทุกระดับ
จากขั้นแรก คือ การมีส่วนร่วมในระดับให้ข้อมูลข่าวสาร เน้นการให้ข้อมูลข่าวสารด้วยช่องทางที่หลากหลาย รวดเร็ว มีความน่าเชื่อถือ ทันเหตุการณ์และทันสมัย ขั้นที่สอง คือ การมีส่วนร่วมในระดับการปรึกษาหารือ เน้นการเปิดโอกาสหรือจัดเวทีต่างๆ ให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการให้ข้อมูลข้อเท็จจริงและความคิดเห็นเพื่อประกอบการตัดสินใจ ขั้นที่สาม คือ การมีส่วนร่วมในระดับให้เข้ามามีบทบาท เน้นการเปิดโอกาสให้ ภาคีเครือข่าย เข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิบัติงาน หรือร่วมเสนอแนะแนวทางที่จะนำไปสู่การตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
โดยเฉพาะขั้นที่สี่ คือ การมีส่วนร่วมในระดับสร้างความร่วมมือ เน้นการให้ ภาคีเครือข่าย มีส่วนร่วมในทุกขั้นตอนของการดำเนินงาน จากนโยบายสู่การปฏิบัติและพัฒนาคุณภาพการศึกษาร่วมกันอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นกลไกหลักในการดำเนินงานด้านความร่วมมือของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) สู่ขั้นสุดท้าย คือ การมีส่วนร่วมในระดับให้เสริมอำนาจแก่ประชาชนเข้ามามีบทบาทสูงสุด
“…เน้นการให้ภาคีเครือข่ายมีส่วนร่วม
ในทุกขั้นตอนของการดำเนินงาน
จากนโยบายสู่การปฏิบัติ
และพัฒนาคุณภาพการศึกษาร่วมกันอย่างต่อเนื่อง…”
อ่านต่อ : เมื่อภาคีเข้มแข็ง…คุณภาพการศึกษาไทยจึงเข้มข้น : การจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานยุคใหม่ บนฐานการมีส่วนร่วมจาก ภาคีเครือข่าย (ตอน 2)