ทฤษฎีองค์การ ในศตวรรษที่ 21: The next station of Organization Theory (ตอน 5)
ทฤษฎีองค์การ (ตอน 5)
วสันต์ สุทธาวาศ : เรียบเรียง
ความเดิม : ทฤษฎีองค์การ ในศตวรรษที่ 21 (ตอน 1, ตอน 2, ตอน 3, ตอน 4)
Modern Management versus Postmodern Management: The Character of them
ในยุค Postmodern เป็นยุคที่เรื่องของสภาพแวดล้อมจากยุคปฏิวัติอุตสาหกรรมได้เดินทาง มาจนถึงรอยต่อแห่งยุค การพัฒนาของระบบและเครือข่ายด้านข้อมูลสารสนเทศ นำไปสู่ผลกระทบจากการหลั่งไหลของข้อมูลที่ทำให้โลกเข้าสู่ความเป็นโลกาภิวัตน์ (Globalization) แต่ก็มีการแยกส่วนต่างๆ (fragmentation) ที่มีความแตกต่างและตรงกันข้ามอย่างชัดเจน ซึ่งถ้ามองในแง่องค์การ พบว่า ในยุค Modern เป็นยุคที่ต้องทำองค์การให้สามารถรับมือกับสภาพแวดล้อมได้ เพราะแนวคิดในยุค Modern ตระหนักว่าสภาพแวดล้อมมีผลกระทบต่อองค์การจึงพยายามที่จะปรับองค์การให้สามารถคงอยู่ได้ (Stable)
แต่ใน ยุค Postmodern นั้น องค์การจึงต้องปรับเปลี่ยนมากกว่าเดิมมาก จากที่เคยใช้ technology ในเชิง technical แต่ในปัจจุบันต้องพัฒนารูปแบบการใช้งานไปมากกว่านั้น การใช้ข้อมูลที่หลั่งไหลเข้ามาเพื่อ การตัดสินใจ ซึ่งผลกระทบดังกล่าวจะนำไปสู่การปรับโครงสร้างขององค์การ เช่น ในอดีตต้องบริหารแบบกระจายอำนาจ เนื่องจากส่วนกลางไม่สามารถตัดสินใจได้เนื่องจากไม่มีข้อมูล แต่ในปัจจุบันเป็นการบริหารทั้งแบบกระจายอำนาจและรวมอำนาจรวมอยู่ในจุดเดียวเป็นต้น
ทำให้วิถีชีวิตและวิธีการบริหารเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนของ Technology System ในยุค Modern สู่ Information Technology ในยุคปัจจุบัน ดังนั้น องค์การจึงต้องปรับเปลี่ยนตนเองอย่างรวดเร็วด้วยอำนาจของข้อมูลข้อมูลเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งแทรกซึมเข้าไปเขย่ารากฐานทางสังคม จนเกิดเป็นสังคมฐานความรู้ (Knowledge Society) ที่จะช่วยต่อยอดแนวทางขององค์การแห่งการเรียนรู้ (Learning Organization) ให้เกิดการพัฒนาและ เกิดการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
The Next station of Organization Theory
จาก ทฤษฎีองค์การ และแนวคิดด้านการจัดการในแต่ละยุคที่ผ่านมา จะเห็นได้ว่าเกิดจากบริบทที่แตกต่างกันไป ช่วยแต่งเติมและพัฒนารูปแบบทางการจัดการให้สอดคล้องกับบริบทนั้นๆ มากขึ้น และเมื่อเกิดแรงขับที่มีอิทธิพลใหม่ๆ ก็จะส่งผลต่อการเปลี่ยนผ่านกระบวนทัศน์ (Paradigm Shifted) ทางแนวคิดดังกล่าว และชี้ให้เห็นอย่างแท้จริงว่า การก้าวข้ามในแต่ละยุคนั้นเป็นการให้คุณค่าและมุมมองต่อปัจจัยหลักของแนวคิดนั้นๆ ที่เปลี่ยนไป ซึ่งมักจะเป็นการให้คุณค่าในมุมมองที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น กล่าวคือ ให้ความสำคัญต่อปัจจัยนั้นๆ มากกว่าความเป็นเครื่องมือสู่ความสำเร็จ ดังนั้น เพื่อให้เข้าใจรอยต่อแห่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวได้มากยิ่งขึ้น จึงขอนำเสนอแผนภาพดังต่อไปนี้
สิ่งแวดล้อมมีอิทธิพลต่อมุมมองทางการจัดการ และมุมมองทางการจัดการก็เป็นตัวกำหนดรูปแบบแนวคิดทางการจัดการในขณะนั้น ดังแผนภาพที่ช่วยตีแผ่ความจริงของการเปลี่ยนผ่านกระบวนทัศน์ทางการจัดการ เช่น มุมมองและการให้คุณค่า “คนเป็นเสมือนเครื่องจักร” สู่ “คนมีชีวิตและหัวใจ” ก็ส่งผลให้เกิดการก้าวข้ามพรมแดนแห่งยุค Classic ไปยังยุค Neo-Classic และที่สำคัญในเชิงประจักษ์ คือ
การเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคมจากช่วงเวลาแห่งการปฏิวัติอุตสาหกรรม สู่สังคมโลกาภิวัตน์ ที่ส่งผลต่อการทลายกำแพงในยุค Modern ไปยังดินแดนใหม่แห่งยุค Postmodern ที่มุมมองและการให้คุณค่าต้องมีความลึกซึ้ง มากเท่าที่จะเพียงพอต่อการปรับตัวให้อยู่รอดขององค์การ จากองค์การที่ไม่มีชีวิตและการใช้เทคโนโลยีในเชิงระบบ สู่มุมมองที่ว่า องค์การนั้นมีชีวิตและเทคโนโลยีสารสนเทศมีความสำคัญและมีผลกระทบในมิติที่ซับซ้อน
สถานีถัดไปของ ทฤษฎีองค์การ จึงย่อมหนีไม่พ้นจากครอบงำทางสังคมและสภาพแวดล้อม ซึ่งก็คือความเป็นโลกาภิวัตน์อย่างเช่นปัจจุบัน ที่ก่อกระแสทางความคิดอย่างถอนรากถอนโคนจากความคิดและความเชื่อดั้งเดิม โดยจากพัฒนาการของทฤษฎีองค์การที่ผ่านมาได้สนับสนุนทัศนะของผู้เขียนที่ได้กล่าวถึงการให้คุณค่าและเปลี่ยนมุมมองต่อปัจจัยหลักของแนวคิดทางการจัดการนั้นๆ ซึ่งที่น่าสนใจและควรให้ความสำคัญในฐานะทางแยกสู่สถานีที่ 5 ของโลกแห่งการจัดการ มีดังต่อไปนี้
Human organism
ยุค Postmodern ได้สะท้อนให้เห็นถึงการพึ่งพาอาศัยเทคโนโลยีในการขับเคลื่อนองค์การเป็นอย่างมาก ทำให้ทุกฝ่ายพากันตื่นตัวกับการสรรค์สร้างและเสาะหาเทคโนโลยีมาใช้แทนระบบการจัดการเดิม ที่แม้ว่าจะทันสมัยเป็นอย่างมากในยุค Modern แล้วก็ตาม มนุษย์เพิ่มความตื่นตัวกับอุปกรณ์ที่ถูกสรรสร้างขึ้นมาเพื่อนำมารับใช้ในชีวิตประจำวัน พร้อมๆ กันกับความเจริญก้าวหน้าของกระบวนการทางอุตสาหกรรม ทั้งหมดเป็นความกลมกลื่นที่เกิดขึ้นเพื่อนำมาควบคุมระบบที่มีความซับซ้อนขององค์การ
แนวคิดในยุค Postmodern ได้สร้างลักษณะบางอย่างที่กีดกั้นการแสดงออก (Self-Expression) และการใช้ดุลพินิจของในระดับบุคคล โดยมีลักษณะของการบังคับให้อยู่ในขอบเขตจำกัด (limit) ที่ถูกกำหนดไว้ และเหมือนเป็นการซ้ำเติมให้ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับความอัตโนมัติ (Autonomous) ที่เกิดขึ้นได้ เสมือนต้องถูกกังขังอยู่ในข้อกำหนดที่สังคมได้สร้างขึ้น และถือเป็นโศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่เกี่ยวกับการพยายามปรับตัวให้กลมกลืนไปกับการสืบทอดความทันสมัยในวิถีชีวิตอุตสาหกรรม
ซึ่งในความรู้สึกของ ชาวอุตสาหกรรม (Industrialism) เปรียบเสมือนกำลังถูกทำร้าย และไม่สามารถเรียกร้องให้ออกจากวิถีทางแห่งยุคนี้ได้ ดังนั้น ในยุค Postmodern จึงเป็นสังคมแห่งเทคโนโลยี (Technological Society) ที่มีแนวโน้มลาดลงจากยุค Modern ในเชิงการคุกคามจากเทคโนโลยี (IT Harassment) ที่พยายามสร้างขึ้นเพื่อรองรับรูปแบบองค์การที่ซับซ้อน หากแต่ไม่ได้พิจารณาถึงความจำเป็นเฉพาะในแต่ละองค์การให้ดี ส่งผลให้การใช้หรือเสาะหาเทคโนโลยีเกินความจำเป็น ไม่เหมาะสม และไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อชีวิตและจิตวิญญาณของผู้ปฏิบัติงาน
แนวโน้มที่ควรจะเป็นและน่าสนใจ คือ การให้ความสำคัญกับความเป็น Human organism โดยพยายามสร้างแนวทางปฏิบัติสำหรับการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีที่เป็นมิตรในระดับบุคคล เพื่อลดผลกระทบเชิงลบต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นต่อความเป็นตัวตนของผู้ปฏิบัติงาน และจะต้องพิจารณาถึงการสร้างความเป็นศูนย์กลางขององค์การที่มีเป้าหมาย คือ
ความเป็นระบบที่มีความทันสมัย (Systemic Modernism) มีเหตุ มีผลที่เหมาะสมที่จะเป็นระบบของเรา (System Itself) อย่างแท้จริง โดยต้องมองข้ามการแข่งขันหรือ ความฟุ้งเฟ้อทางเทคโนโลยีออกไป มุ่งเน้นจิตสำนึกของความเป็นเหตุเป็นผลกับปัญหาที่องค์การต้องเผชิญ ซึ่งต้องไม่ฝืนต่อธรรมชาติ และสามารถที่จะปฏิเสธหรือหลีกเลี่ยงความทันสมัยนั้นก็ได้
Organic Information Technology
ในบริบทที่เทคโนโลยีเข้ามาเป็นองค์ประกอบหนึ่งในชีวิตประจำวัน การทำงาน และการจัดการ ทั้งในระดับบุคคลหรือกระทั่งระดับองค์การ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวได้พัฒนาและแทรกซึมมากขึ้นเป็นทวี จนสร้างให้เกิดสังคมรูปแบบใหม่ที่มีความสัมพันธ์กันตามระเบียบกฎเกณฑ์ใหม่ๆ มีวัตถุประสงค์สำคัญร่วมกัน มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน มารวมกลุ่มกันในสถานที่ที่ตอบรับกับความสนใจของกลุ่มคนนั้นๆ กันอย่างต่อเนื่อง
ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงแค่การมาพบปะพูดคุย มองเห็นรูปร่างหน้าตา บุคลิกภาพหรือทำกิจกรรมร่วมกัน เป็นสังคมที่เกิดขึ้นบนโลกไซเบอร์หรือโลกเสมือน ซึ่งมีความกว้างใหญ่ไพศาล ไม่สิ้นสุด แต่เป็นเครือข่ายหนึ่งของโลกที่เชื่อมโยงเข้าด้วยกันในรูปแบบเฉพาะเจาะจง เช่น ทางด้านความคิด เงินทอง การค้า หรือมิตรภาพ เป็นต้น ซึ่งเป็นแผนผังความเกี่ยวข้องที่มาจากความสนใจในรูปแบบต่างๆ กัน มารวมเข้าไว้ด้วยกัน
สังคมออนไลน์ดังกล่าวถูกนิยามในชื่อ Social Network ที่เชื่อมโลกเข้าด้วยกันไม่เพียงแค่เครือข่ายในแนวระนาบแต่รวมถึงสร้างเครือข่ายในแนวดิ่งด้วย ซึ่งเป็นการเปิดประตูสู่กิจกรรมต่างๆ ที่ในโลกออฟไลน์หรือโลกแห่งความเป็นจริงทำไม่ได้ หรือทำได้แต่ต้องใช้ทรัพยากรมหาศาล เช่น การระดมเงินทุนหรือแรงงานเพื่อช่วยเหลือได้ทันท่วงทีในช่วงวิกฤตการณ์ต่างๆ หรือกระทั่งระบบ Micro-Finance เพื่อช่วยเหลือคนในอีกซีกมุมหนึ่งของโลก โดยไม่ต้องรอพึ่งรัฐบาล องค์การระหว่างประเทศ หรือองค์การการกุศลเหมือนที่เคยเป็น รวมถึงการเข้ามามีบทบาทในการลดช่องว่างให้กับคนบางกลุ่มในสังคม และได้กลายมาเป็นเครื่องมือสำคัญของภาคประชาสังคม (Civil Society) อีกด้วย
การขยายสังคมรูปแบบดังกล่าวนี้เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งเป็นผลมาจากแรงจูงใจบางอย่างสำหรับการเข้ามามีส่วนร่วมในสังคมเครือข่าย กล่าวคือ คนที่จะเข้ามามีส่วนร่วมในสังคมเครือข่ายนั้น มีเหตุผล ส่วนใหญ่มาจากแรงจูงใจจากภายในจิตใจของผู้ใช้งานเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นความต้องการการยอมรับ ความภูมิใจ ความคาดหวังต่างๆ หรือแม้กระทั่งการใช้อารมณ์ร่วม ดังนั้น พลังของกลุ่มแรงจูงใจเหล่านั้น จึงเป็นแรงขับที่เริ่มส่งผลให้เทคโนโลยีสารสนเทศมีการตอบสนองร่วมทางด้านอารมณ์และความรู้สึก
ซึ่งผลักดันให้เทคโนโลยีสารสนเทศเสมือนมีจิตสำนึกเฉพาะตัว มีอารมณ์แบบกลุ่ม และตอบสนองอย่างอ่อนไหวต่อปัจจัยต่างๆ หรือเรียกได้ว่าเริ่มที่จะมีชีวิต (Organic Information Technology) เพราะฉะนั้น องค์การจึงมีแนวโน้มที่จะต้องดำเนินการและพัฒนาระบบที่เกี่ยวข้องอย่างละเอียดอ่อน เพื่อให้สามารถประยุกต์ใช้และอยู่ร่วมกับเทคโนโลยียุคใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล เกิดประโยชน์กับ การทำงานและเป้าหมายขององค์การ
Wisdom Organization
จากแนวคิดเรื่อง องค์การแห่งการเรียนรู้และการเรียนรู้ขององค์การ (The learning organization and organizational learning) ได้ชี้ให้เห็นถึงวัฒนธรรมของการเรียนรู้ ซึ่งเป็นกระบวนการเรียนรู้ที่เกิดขึ้นอย่างเป็นระบบ โดยเชื่อมโยงทั้งระดับตัวบุคคล ระดับทีมงาน และระดับองค์การ ผ่านการสร้างค่านิยม ความเชื่อ แนวคิด ในการทำงาน ภาวะความเป็นผู้นำ รวมถึงการจัดการความรู้ แต่เนื่องจากองค์การ ในปัจจุบันตกสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและมีความไม่แน่นอนเพิ่มมากขึ้น กระบวนการจัดการแบบดั้งเดิมบนพื้นฐานของข้อมูล ความรู้ และการเรียนรู้ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อลดความไม่แน่นอน ในสภาพแวดล้อมดังกล่าวย่อมไม่เพียงพอ
ซึ่งในบางมุมมองนั้น กระบวนการและความสัมพันธ์ของการเรียนรู้กับความรู้ เกิดความล้มเหลวและไม่สามารถตอบสนอง หรือผลักดันองค์การแห่งการเรียนรู้ให้พัฒนา หรือปรับตัวต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็วและความไม่แน่นอนต่างๆ ได้อย่างเพียงพอ จึงอาจนำไปสู่การกระทำที่ขาดความชัดเจนทางจริยธรรมและสังคม รวมถึงความรับผิดชอบ ที่เกี่ยวข้องขององค์การ เช่น แนวทางปฏิบัติทางบัญชีที่ผิดกฎหมาย เป็นต้น เพียงเพื่อที่จะให้ตัวเองอยู่รอด จนเกิดข้อกังขาถึงแนวทางพัฒนาองค์การดังกล่าวจากสังคม ดังนั้น จึงนำไปสู่การพยายามพัฒนายกระดับกรอบแนวคิดอย่างบูรณาการ บนรากฐานแห่งปัญญามากขึ้น
ตามแนวคิดทางปรัชญาของอริสโตเติล ในมุมมองด้านปัญญาว่าเกิดจากการใช้ความสามารถที่เหมาะสม การใช้เหตุผล และการดำเนินการเชิงประจักษ์ เพื่อให้บรรลุซึ่งเป้าหมาย รวมถึงการสร้างความน่าเชื่อถือในด้านคุณธรรมของตนเอง การใช้ปัญญาในการตัดสินใจ และการใช้ศักยภาพอย่างเปี่ยมด้วยปัญญาได้อย่างเป็นธรรมชาติ ถือได้ว่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในการบริหารจัดการองค์การสู่ความสำเร็จ
จากแนวคิดดังกล่าว แสดงให้เห็นว่าการใช้ปัญญาในทางปฏิบัตินั้นต้องเรียนรู้และยอมรับการกระทำในอดีต มาปรับใช้ในปัจจุบันและอนาคต เพื่อนำไปสู่ความสามารถในการพิจารณาหรือดำเนินการได้อย่างถูกต้อง เหมาะสม ซึ่งขับเคลื่อนด้วยความเข้าใจ ความซื่อสัตย์ และความรับผิดชอบ ภายใต้โครงสร้าง วัฒนธรรม บรรยากาศ และข้อกำหนด ที่ทำให้ผู้ปฏิบัติงานรู้สึกอบอุ่น ในการทำงาน การแลกเปลี่ยนเรียนรู้ นำสู่ผลลัพธ์ในการดำเนินงานที่ดีขององค์การ ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วก็จะนำไปสู่ความเป็น องค์การแห่งปัญญา (Wisdom Organization)
ดังนั้น องค์การต้องดำเนินการภายใต้แรงกดดันที่เพิ่มมากขึ้น ไม่เพียงแต่การเรียนรู้ การปรับเปลี่ยน และปรับตัว แต่ยังต้องดำเนินการให้เป็นที่ยอมรับตามหลักจริยธรรมอย่างยั่งยืน และเกิดสมดุลทางผลประโยชน์ของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียต่างๆ หรือเรียกได้ว่าเป็นการกระทำอย่างมีปัญญาในทุกๆ องค์ประกอบองค์การที่จะสามารถยั่งยืนบนพลวัตรของความซับซ้อนและความไม่แน่นอนได้นั้น นอกจากต้องคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ ทั้งสภาพแวดล้อม หรือผู้มีส่วนได้ส่วนเสียแล้ว ยังต้องให้ความสำคัญถึงเรื่องจริยธรรมที่จะนำไปสู่การเลือก การตัดสินใจ และการปฏิบัติอย่างมีปัญญาที่แฝงไปด้วยเหตุผลและคุณธรรมอีกด้วย
จากประเด็นที่น่าสนใจที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ทำให้เกิดคำถามที่ไม่ค่อยจะสำคัญนักว่า แล้วยุคต่อไปจะถูกเรียกชื่อว่าอย่างไร แต่สิ่งที่สำคัญมากกว่าและจะนำไปสู่คำตอบของคำถามนั้นได้ คือ องค์ประกอบของสถานีหรือยุคถัดไปนั้นคงต้องกลับมาให้ความสนใจเกี่ยวกับความมีชีวิต ความเป็นจิตวิญญาณ ที่ทุกสิ่งจะเริ่มต้นจากภายในเบื้องลึกของมนุษย์ เป็นการให้ความสำคัญในเชิงคุณภาพที่เพิ่มมากขึ้น ลึกซึ้งขึ้น
รวมถึงความมีปัญญาในเชิงคุณธรรม จริยธรรม ทั้งในตัวบุคคล กระบวนการ กลุ่มสัมพันธ์ และองค์การ ที่ต้องเข้มข้นกว่าความเป็นธรรมาภิบาลผิวเผิน บนฐานของเครือข่ายและข้อมูลสารสนเทศที่เคลื่อนไหวไร้ทิศทางอย่างมีนัยสำคัญ ภายใต้ร่มเงาของความเป็นโลกาภิวัตน์ที่มีพลวัตรอันไม่แน่นอน ทุกๆ อย่างที่เกี่ยวข้อง จะเสมือนดังมีชีวิต ที่ไม่อาจใช้เพียงแค่การคาดเดา ทำนาย หรือสร้างกฎเกณฑ์ เพื่อที่จะควบคุมให้เป็นไปตามทัศนะที่ต้องการได้ การที่จะบรรลุซึ่งเป้าหมายขององค์การในอนาคตจึงมิได้มุ่งที่ปลายอุโมงค์อีกต่อไป
แต่ต้องย้อนกลับมาเพ่งเน้นยังจุดเริ่มต้น จุดที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าในทุกย่างก้าวที่เดิน ก้าวข้ามจากเส้นทางสาย Technology Society ที่กว้างใหญ่และแบนราบ สู่เส้นทางสาย Wisdom Society ที่คับแคบแต่หยั่งลึก เราจึงต้องทำราวกับว่าได้เปิดตาที่สามแห่งความเข้าใจ ให้มีมุมมองใหม่ๆ ที่ยืดหยุ่น และเปิดกว้างอย่างเพียงพอต่อวิถีแห่งจิตวิญญาณสามัญที่แตกต่าง หลากหลาย บิดเบี้ยวและซับซ้อน เพราะฉะนั้นแล้ว โครงสร้างของสถานีถัดไปจึงจินตนาการได้เป็นรูปลักษณ์ที่ดูแปลกตา เสมือนถูกออกแบบโดยสถาปนิก ที่วิกลจริต แต่ผูกด้วยด้ายอันทรงพลังเชื่อมโยงทุกสิ่งไว้ด้วยกันอย่างแข็งแรง และมีความสำคัญที่มิควรมองข้ามในทุกๆ องคาพยพ
The Next station of Organization Theory’s Character
ทฤษฎีองค์การ ยุคนี้มีแนวโน้มที่จะกลับมาให้ความสำคัญกับความเป็นมนุษย์และปัจเจกที่ลึกซึ้งขึ้น มีความใกล้ชิดกับกลุ่มสัมพันธ์ สังคม และองค์การ รวมถึงเทคโนโลยี อย่างมีพลวัตรและมีชีวิต บนฐานสังคมแห่งปัญญา
เอกสารที่เกี่ยวข้อง
ภาษาไทย
นภาพร อติวานิชยพงศ์. 2550. เอกสารประกอบคำบรรยายวิชา ทฤษฎีสังคมศาสตร์ว่าด้วยการพัฒนา 1 (บอ. 601). หลักสูตรศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ชนบทศึกษาและการพัฒนา). สำนักบัณฑิตอาสาสมัคร, มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.
พงกะพรรณ ตะกลมทอง. 2550. องค์การสมัยใหม่ Modern Organization. (ม.ป.ท.)
วาวไพลิน ช่อวิเชียร. 2554. 7 ปรากฏการณ์ Social Network ในอาเซียน. ASEAN Highlights 2011.
ผศ.ดร.เฉลิมชัย กิตติศักดิ์นาวิน. การบรรยายวิชาองค์การและพฤติกรรมองค์การสมัยใหม่และนวสมัย. หลักสูตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิต, สาขาวิชาการจัดการ, ภาคการศึกษาที่ 1/2556, คณะวิทยาการจัดการ. มหาวิทยาลัยศิลปากร.
ภาษาต่างประเทศ
Deena Weinstien and Michael A. Weinstien. 1998. Is postmodern organization theory skeptical?. Journal of Management History (Archive), Vol. 4 Iss: 4, pp.350 – 362.
Durkheim and Bergson. 2002. The Hidden Roots of Postmodern Theory and The Postmodern ‘Return’ of the Sacred. Sociological Perspectives. Volume 45, Number 3, pages 243-265.
Jean-François Lyotard. 1984. The Postmodern Condition: A Report on Knowledge Manchester University Press.
Jennifer Rowley and Paul Gibbs. 2008. From learning organization to practically wise organization. The Learning Organization, Vol. 15 No. 5, pp. 356-372, Emerald Group Publishing Limited.
Jim Halteman. 1994. The Role of Values in Post-Modern Economics. Presented at the ACE Annual Meetings.
Shafritz, J.M., Ott, J.S. (Eds.). 2001. Classics of Organization Theory, (Fifth Edition). Harcourt. Inc.
Steven Best and Douglas Kellner. 2001. Dawns, Twilights, and Transitions: Postmodern Theories, Politics, and Challenges. Democracy & Nature, Vol. 7, No. 1.